วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การตอบสนองของพืช (อังกฤษplant perception หรือ plant response) คือ การตอบสนองของพืชต่อสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายใน เป็นกลไกที่เกิดขึ้นจากการทำงานของฮอร์โมนพืชหรือกลไกต่าง ๆ ของเซลล์ทำให้พืชเกิดการเคลื่อนไหว

การตอบสนอง


The sunflower, a common heliotropic plant which perceives and reacts to sunlight by slow turning movement

Redvine (Brunnichia ovata) tendrils coil upon contact.
มีหลายประเภทได้แก่
  • การเคลื่อนไหว ซึ่งจะมีบริเวณ/โครงสร้างที่เกิดการเคลื่อนไหว และทิศทางของการเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป
  • การปล่อยสารเคมี
  • การเปลี่ยนแปลงลักษณะของเนื้อเยื่อ
การเคลื่อนไหวที่มีทิศทางสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า หรือการเบน (Tropism) สามารถแบ่งได้หลายอย่างตามชนิดของสิ่งเร้า เช่น
ประเภทการเบนภาษาอังกฤษ
การเบนตามแสงPhototropism
การเบนเนื่องจากความโน้มถ่วงGravitropism
การเบนเนื่องจากสารเคมีChemotropism
การเบนเนื่องจากการสัมผัสThigmotropism
การโน้มตอบสนองความร้อนThermotropism
การเบนตอบสนองความชื้นHydrotropism
การเบนตามตำแหน่งดวงอาทิตย์Heliotropism
ประเภทการเคลื่อนไหวภาษาอังกฤษ
การบานกลางวันPhotonasty
การหุบกลางคืนNyctinasty
การบานเมื่ออุ่นThermonasty
การหุบเพราะสัมผัสThigmonasty/Seismonasty
การหุบเพราะขาดน้ำHydronasty

การสืบพันธุ์ของพืชดอก
             ดอกไม้นานาชนิด จะเห็นว่านอกจากจะมีสีต่างกันแล้วยังมีรูปร่าง ขนาด และโครงสร้างขอกดอกแตกต่างกัน
ดอกบางชนิดมีกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น บางชนิดมีกลีบดอกไม่มากนักและมีชั้นเดียว ดอกบางชนิดมีขนาดใหญ่มาก
บางชนิดเล็กเท่าเข็มหมุด นอกจากนี้ดอกบางชนิดมีกลิ่นหอมน่าชื่นใจ แต่บางชนิดมีกลิ่นฉุนหรือบางชนิดไม่มีกลิ่น
ความหลากหลายของดอกไม้เหล่านี้เกิดจากการที่พืชดอกมีวิวัฒนาการมายาวนาน จึงมีความหลากหลายทั้งสี รูปร่าง
โครงสร้าง กลิ่น ฯลฯ แต่ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันดอกก็ทำหน้าที่เหมือนกันคือ เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช
 การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชมีดอก
                สิ่งมีชีวิตต้องการสารอาหารเพื่อการดำรงชีวิต เมื่อสิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตเต็มที่ก็จะสืบพันธุ์
ุ์เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองไว้ พืชก็เช่นเดียวกันการสืบพันธุของพืชมีทั้งการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
และไม่อาศัยเพศ
        การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกจะต้องมีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
ซึ่งเกิดขึ้นในดอก ดังนั้นดอกจึงเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอก
  
 โครงสร้างของดอก

 

                ดอกไม้ต่างๆ ถึงแม้จำทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์เหมือนกันแต่ก็มีโครงสร้างแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของพืช
ดอกแต่ละชนิดมีโครงสร้างของดอกแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีโครงสร้างหลักครบทั้ง 4 ส่วน ซึ่งได้แก่ กลีบเลี้ยง
กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย เรียกว่า ดอกสมบูรณ์ 
(complete flower) แต่ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ครบ
4 ส่วนเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์ 
(incomplete flower) และดอกที่มีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย
อยู่ภายในดอกเดียวกัน เรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ 
(perfect flower               ถ้ามีแต่เกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียเพียงอย่างเดียว เรียกว่าดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower)จากโครงสร้างของดอกยังสามารถจำแนกประเภทของดอกได้อีกโดยพิจารณาจากตำแหน่งของรังไข่ เมื่อเทียบกับฐาน
รองดอกซึ่งได้แก่ ดอกประเภทที่มีรังไข่อยู่เหนือฐานรองดอก เช่น ดอกมะเขือ จำปี ยี่หุบ บัว บานบุรี พริก ถั่ว มะละกอ ส้ม
เป็นต้น และดอกประเภทที่มีรังไข่อยู่ใต้ฐานรองดอก เช่น ดอกฟักทอง แตงกวา บวบ ฝรั่ง ทับทิม กล้วย พลับพลึง เป็นต้น
                ดอกของพืชแต่ละชนิดจะมีจำนวนดอกบนก้านดอกไม่เท่ากัน จึงสามารถแบ่งดอกออกเป็น 2 ประเภท คือ
ดอกเดียว 
(solotary flower) และช่อดอก (inflorescences flower)
                ดอกเดี่ยว หมายถึง ดอกหนึ่งดอกที่พัฒนามาจากตาดอกหนึ่งตา ดังนั้นดอกเดี่ยวจึงมีหนึ่งดอก
บนก้านดอกหนึ่งก้าน เช่น ดอกมะเขือเปราะ จำปี บัว เป็นต้น
                ช่อดอก หมายถึง ดอกหลายดอกที่อยู่บนก้านดอกหนึ่งก้าน เช่น เข็ม ผักบุ้ง มะลิ กะเพรา กล้วย กล้วยไม้ ข้าว
เป็นต้น แต่การจัดเรียงตัว และการแตกกิ่งก้านของช่อดอกมีความหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์ใช้ลักษณะการจัดเรียงตัว
และการแตกกิ่งก้านของช่อดอกจำแนกช่อดอกออกเป็นแบบต่างๆ
                ช่อดอกบางชนิดมีลักษณะคล้ายดอกเดี่ยว ดอกย่อยเกิดตรงปลายก้านช่อดอกเดียวกัน ไม่มีก้านดอกย่อย
ดอกย่อยเรียงกันอยู่บนฐานรองดอกที่โค้งนูนคล้ายหัว เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรย ดาวกระจาย เป็นต้น
ช่อดอกแบบนี้ประกอบด้วยดอกย่อยๆ 2 ชนิด คือ ดอกวงนอกอยู่รอบนอกของดอก และดอกวงในอยู่ตรงกลางดอก
ดอกวงนอกมี 1 ชั้น หรือหลายชั้นเป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรือไม่สมบูรณ์เพศก็ได้ ส่วนมากเป็นดอกเพศเมีย
ส่วนดอกวงในมักเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปทรงกระบอกอยู่เหนือรังไข่



การสังเคราะห์ด้วยแสง (อังกฤษphotosynthesis) เป็นกระบวนการทางชีวเคมีที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้พืช,สาหร่าย และแบคทีเรียบางชนิดได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ สิ่งมีชีวิตแทบทั้งหมดล้วนอาศัยพลังงานที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อการเจริญเติบโตทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ยังมีการผลิตออกซิเจน ซึ่งมีเป็นองค์ประกอบในสัดส่วนที่มากของบรรยากาศโลกด้วย สิ่งมีชีวิตที่สร้างพลังงานจากกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ เรียกว่า 
"phototrophs"

การลำเลียงในพืช    การดูดน้ำของพืช สามารถเข้าสู่เซล ขนราก และเซลต่อ ๆ ไปโดยกระบวนการออสโมซิส ปลายรากจะมีขนราก(root hair) ภายในเซลจะมีแวคิวโอลขนาดใหญ่ จะมีน้ำ เกลือแร่ และสารอื่น ๆ สามารถดูดซึมสารอาหารโดยการซอนไซ เข้าไปในดิน ชั้นของเนื้อเยื่อของลำต้น เรียงจากนอกสุดเข้าไปในสุด ดังนี้ 1. เอพิเดอร์มิส (Epidermis)เป็นผนังเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด เซล เรียงตัวชั้นเดียว มีผนังบาง ไม่มีคลอโรพลาสต์ 2. คอร์เทกซ์ (Cortex) ประกอบด้วยเซลหลายแถว มีหลายชนิด มีคลอโรฟิลล์ ชั้นของคอร์เทกซ์ในรากจะกว้างกว่าในลำต้น 3. เอนโดเดอร์มิส (Endodermis) ประกอบด้วยเซลแถวเดียว ส่วนใหญ่พบในราก 4. เพอริไซเคิล (Pericycle) ประกอบด้วย เซลเพียงหนึ่งหรือสอง แถว เป็นแหล่งที่เกิดของรากแขนง 5. วาสคิวลาร์บันเดิล ทำหน้าที่ลำเลียงในพืช ประกอบด้วย เซลอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อโฟลเอมและไซ เลม มีแคมเบียมคั่นอยู่ตรงกลางในพืชในเลี้ยงคู่ การเรียงตัวจะ กระจายในพืชใบเลี้ยงเดียว เป็นกลุ่ม ๆ เรียงเป็นวงในพืชใบ เลี้ยงคู่ 6. พิท (Pith)ประกอบด้วย เซลผนังบาง ๆ คือ พาเรนไคมา (Parenchyma) กลุ่มเซลไซเลม ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ เกลือแร่ สารละลายต่าง ๆ โดยกระบวนการ Conduction ประกอบด้วยเซลหลายชนิด เช่น - เทรคีดเซล (tracheid) - เวสเซล (Vessel) กลุ่มโฟเอม ประกอบด้วย ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ (Sievetube member) ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช เซลคอมพาเนียน (Companion cell) มีหน้าที่ควบคุมการทำ งานของซีฟทิวบ์เมมเบอร์ เซลไฟเบอร์ (Fiber cell) ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงทนทานแก่พืช ซึ่งอยู่ภายในเนื้อเยื่อของโฟลเอมและไซเลม เรย์ (Ray) ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและอาหารไปด้านข้างของลำต้น แคพิลลารีแอคชัน (Capillary action) เป็นกระบวนการ เคลื่อนที่ของน้ำในหลอดเล็ก ๆ แอดฮีชัน (adhesion) คือแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้ำ และผนังด้านข้างของหลอด การคายน้ำของพืช หมายถึงกระบวนการที่พืชกำจัดน้ำออกมาในรูปของไอน้ำซึ่งจะเกิดขึ้นที่ปากใบมากสุด เซลคุม (Guard cell) เป็นเซลมีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว จะมีเม็ดคลอ โรพลาสต์ ระหว่างเซลคุมจะมีช่องเล็ก ๆ คือปากใบ คิวทิน (Cutin) คือสารขี้ผึ้งที่ฉาบอยู่ผิวใบของพืชเลนทิเซล (lenticel) หมายถึงรอยแตกที่ผิวของลำต้นหรือกิ่ง ซึ่งพืชอาจสูญเสียน้ำทางเลนทิเซลได้ กัตเทชั่น (Guttation) คือกระบวนการคายน้ำของพืชในรูป ของหยดน้ำ ทางรูเล็ก ๆ คือ รูไฮดาโทด (hydathode) ความดันราก (Root pressure) คือแรงดันที่ดันของเหลวให้ ไหลขึ้นไปตามท่อของไซเลม แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้ำ เรียกว่า โคฮีชัน (Cohesion) แรงดึงดูดจากการสูญเสียของน้ำของพืช เรียกว่า ทรานสปีเรชัน พลู (transpiration pull) การลำเลียงอาหารของพืช การลำเลียงอาหารของพืช ลำเลียงในโฟลเอม เกิดจากความ แตกต่างของความดันเต่งภายในเซล ระหว่างเซลเริ่มต้นและเซลปลายทาง น้ำจากเซลข้างเคียงและไซเลมจะแพร่เข้าสู่เซลของใบ ทำให้ เซลที่ใบมีความดันสูง จะดันสารละลาย อาหาร ไปตามโฟลเอม จนถึงเซลต่าง ๆ เมื่อได้รับอาหารแล้ว จะมีกระบวนการเปลี่ยน แปลงสารอาหารเป็นสารอื่น ๆ ที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้เซลปลาย ทาง มีความดันออสโมซิสต่ำ ความดันเต่งต่ำ

โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก



 เนื้อเยื่อพืช       เนื้อเยื่อพืชที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างส่วนต่างๆ ของพืชแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น แบ่งตามความสามารถในการแบ่งเซลล์ หน้าที่ ลักษณะโครงสร้าง หรือตามตำแหน่งที่อยู่  ถ้าจำแนกตามความสามารถในการแบ่งเซล์จะแบ่งเนื้อเยื่อพืชเป็น  2 ประเภท คือ
1.
เนื้อเยื่อเจริญ (Meristem tissue)
เนื้อเยื่อเจริญเป็นเนื้อเยื่อที่สามารถแบ่งตัวได้ มักมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ผนังเซลล์บาง นิวเคลียสใหญ่ เด่นชัด แวคิวโอลขนาดเล็ก เซลล์อยู่ชิดกัน
    ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของเนื้อเยื่อเจริญอกเป็น 3 ประเภท ตามตำแหน่ง
 1.เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (Apical meristem) : เนื้อเยื่อประเภทนี้พบอยู่บริเวณปลายยอด ปลายราก และตา
  เนื้อเยื่อปลายยอด                                                                        เนื้อเยื่อปลายราก
                         
                               ที่มารูปภาพ : www.nana-bio.com/e-learning/Meristem.htm
 2.เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (Laterral meristem) : จะพบหลังจากมีการเจริญขั้นที่สอง เป็นเซลล์รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังเซลล์บาง เรียงตัวเป็นระเบียบ แบ่งเป็น 2 ชนิด
              1) วาสคิวลาร์ แคมเบียม : แทรกอยู่ระหว่าง ไซเลม และโฟลเอ็ม มีหน้าที่ สร้าง secondary xylem และ secondary pholem พบในพืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิด และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด
              2) คอร์ก แคมเบียม  : ทำหน้าที่สร้างคอร์ก เพื่อทำหน้าที่แทนเซลล์เอพิเดมิส

วาสคิวลาร์แคมเบียม                                                                            คอร์ก แคมเบียม
                                  
ที่มารูปภาพ:www.nsci.plu.edu/.../b359web/pages/meristem.htm         ที่มารูปภาพ:kruwasana.info/M_tissue.html
3.เนื้อเยื่อเจริญเหนือ ข้อ(Intercalary meristem) : เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้จะอยู่บริเวณเหนือข้อของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ทำให้ปล้องยืดยาวขึ้น ซึ่งมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินเข้ามาเกี่ยวข้อง

2.
เนื้อเยื่อถาวร คือ เนื้อเยื่อพืชซึ่งประกอบด้วยเซลล์ที่แบ่งตัวไม่ได้ และมีรูปร่างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ จะคงรูปร่างลักษณะเดิมไว้ตลอดชีวิตของส่วนนั้น ๆ ของพืชเนื้อเยื่อชนิดนี้เจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กันจนเซลล์นี้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มี Vacuole และ cell wall ก็เปลี่ยนแปลงไปสุดแท้แต่ว่า จะกลายไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดไหน ซึ่งโดยมากมักมีสารประกอบต่าง ๆ ไปสะสมบน cell wall ให้หนาขึ้นเพื่อให้เกิดความแข็งแรง
         ชนิดของเนื้อเยื่อถาวร เมื่อจำแนกตามลักษณะของเซลล์ที่มาประกอบกันจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
          1. เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่ประกอบด้วย เซลล์ชนิดเดียวกันล้วน ๆ จำแนกออกเป็นหลายชนิด คือ Epidermis Parenchyma Collenchyma Sclerenchyma Coke Secretory tissue
          2. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่ประกอบขึ้นด้วย เซลล์หลายชนิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อทำงานร่วมกัน ประกอบขึ้นด้วย 2 กลุ่มด้วยกันคือ Xylem และ Phloem ซึ่งจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Vascular bundle หรือ Vascular tissue นั่นเอง
เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว
          Epidermis เป็น simple tissue ที่อยู่ผิวนอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของพืช (ถ้าเปรียบกับตัวเรา ก็คือ หนังกำพร้านั่นเอง) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต เมื่อโตเต็มที่แล้ว จะมี Vacuole ขนาดใหญ่ จนดัน protoplasm ส่วนอื่น ๆ ให้ร่นไปอยู่ที่ขอบเซลล์หมด
          หน้าที่ของ epidermis
           - ช่วยป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงด้วย
           - ช่วยป้องกันการระเหย (คาย) น้ำ (เพราะถ้าพืชเสียน้ำไปมากจะเหี่ยว) และช่วยป้องกันน้ำไม่ ให้ซึมเข้าไปข้างในด้วย (เพราะถ้าได้รับน้ำมากเกินไป จะเน่าได้ )
           - ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊สทั้งไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจน โดยทางปากใบ
           - ช่วยดูดน้ำและเกลือแร่
epidermis คือบริเวณกลมๆใสๆด้านบน
ที่มารูปภาพ:http://www.se-society.com/forum/viewtopic.php?p=121315&sid=a3522cf5f701f279af668fb84e600eba
          Parenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Parenchyma Cell ซึ่งเป็นเซลล์พื้นทั่ว ๆ ไป และพบมากที่สุดในพืชโดยเฉพาะส่วนที่อ่อนนุ่มและอมน้ำได้มาก เช่น ในชั้น Cortex และ Pith ของรากและลำต้น
          Parenchyma cell เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีรูปร่างหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ทรงกระบอกกลม หรือทรงกระบอกเหลี่ยมด้านเท่า อาจกลมรี มี cell wall บาง ๆ
          หน้าที่ Parenchyma
           - ช่วยสังเคราะห์แสง
           - สะสมอาหาร (พวกแป้ง โปรตีน และไขมัน ) น้ำ
           - สร้างน้ำมันที่มีกลิ่นหอมหรืออื่น ๆ ตามแต่ชนิดของพืชนั้น ๆ
           - บางส่วนช่วยทำหน้าที่หายใจ
เนื้อเยื่อพาเรงคิมา
ที่มารูปภาพ:http://www.psuwit.psu.ac.th/e-learning/data/cai/biology/Chapter5/Picture_Chapter5/5.7.jpg
          Collenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Collenchyma cell พบมากในบริเวณ Cortex ใต้ epidermis ลงมา ในก้านใบ เส้นกลางใบ เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เซลล์อัดแน่น ขนาดของเซลล์ส่วนมากเล็ก หน้าตัดมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่ยาวมาตาม ความยาวของต้น และปลายทั้งสองเสี้ยมหรือตัดตรง
          หน้าที่ของ Collenchyma
           - ช่วยทำให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชเหนียวและแข็งแรงทรงตัวอยู่ได้
           - ช่วยป้องกันแรงเสียดทานด้วย
          Sclerenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ซึ่งมีลักษณะทั่วๆ คือ เป็นเซลล์ที่ตายแล้ว (ตอนเกิดใหม่ ๆ ยังมีชีวิตอยู่แต่พอโตขึ้น Protoplasm ก็ตายไป ) เซลล์วอลหนามากประกอบขึ้นด้วยเซลล์ลูโลสและลิกนิก เนื้อเยื่อชนิดนี้แข็งแรงมากจัดเป็นโครงกระดูกของพืช
          Sclerenchyma จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิดตามรูปร่างของเซลล์ คือ
                     1. Fiber เรามักเรียกว่าเส้นใย ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว มีลักษณะเรียวและยาวมากปลายทั้งสองเสี้ยม หรือค่อนข้างแหลม มีความเหนียวและยึดหยุ่นได้มากจะเห็นได้จากเชือกที่ทำจากลำต้นหรือใบของพืช ต่าง ๆ
                     หน้าที่ของ Fiber
                      - ช่วยให้ความแข็งแรงแก่พืช
                      - ช่วยพยุงลำต้นให้ตั้งตรงและแข็งแรง และให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของ คนมาก เช่น พวกเชือก เสื้อผ้า ฯลฯ ก็ได้มาจากไฟเบอร์ ของพืชเป็นส่วนใหญ่
  ไฟเบอร์   D :  ไฟเบอร์ตัดตามยาว    E : ไฟเบอร์ตามขวาง                  stone cell  F : สโตนเซลล์  G : สโตนเซลล์
          
                                          
                                ที่มารูปภาพ : คู่มือเตียมสอบชีววิทยา ม.4-5-6 โดย ดร.สมานแก้วไวยุทธ
                      2. Stone cell ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว มีลักษณะคล้ายกับไฟเบอร์ แต่เซลล์ไม่ยาวเหมือนไฟเบอร์ เซลล์อาจจะสั้นกว่าและป้อม ๆ อาจกลมหรือเหลี่ยมหรือเป็นท่อนสั้น ๆ รูปร่างไม่แน่นอน พบอยู่มากตามส่วนแข็ง ๆ ของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเปลือกของเมล็ดหรือผลไม้ เช่น กะลามะพร้าว เมล็ดพุทรา เมล็ดแตงโม หรือ ในเนื้อของผลไม้ที่เนื้อสาก ๆ เช่น เสี้ยนในเนื้อของลูกสาลี่ เนื้อน้อยหน่า ฝรั่ง
                    หน้าที่ของ Stone cell
                     - ช่วยให้ความแข็งแรงแก่ส่วนต่าง ๆ ของพืช (เพราะเป็นเซลล์ที่แข็งมาก)
          Cork เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด ของลำต้นและรากใหญ่ ๆ ที่แก่แล้ว ของไม้ยืนต้น
          เซลล์ของคอร์ก มีลักษณะคล้ายพาเรนไคมาเซลล์ แต่ผนังหนากว่ามีทั้ง ไพมารีและเซคันดารี วอลล์ และตามปกติจะไม่มีพิตเลย เนื้อเยื่อคอร์ก มีแต่เซลล์ที่ตายแล้ว
          ต้นไม้บางชนิดมีคอร์ก หุ้มหนามาก จนบางทีเราลอกเอามาทำจุกขวดหรือแผ่นไม้คอร์กนั่นเอง คอร์กยังพบที่โคนก้านใบขณะที่ใบกำลังจะร่วง และแผลเป็นตามลำต้น
          หน้าที่ของคอร์ก
           - ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ ป้องกันความร้อน ความเย็น และอันตรายต่าง ๆ จากภายนอก

ความสำคัญของพืชต่อระบบนิเวศโลก


         เราจะเห็นได้ว่าระยะนี้มีภัยพิบัติทางธรรมชาตเกิดขึ้นมากมายในโลกของเรา  สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน  เช่น



  น้ำท่วม

หรือ
 

สึนามิ,
หรือ
ภัยแล้ง
หรือ
แผ่นดินไหว,ดินถล่ม
หรือ
น้ำแข็งขั้วโลกละลาย,โลกร้อน
          และอีกมายมายตามที่เป็นข่าวอยู่ในสื่่อต่างๆ เมื่อนักเรียนลองพิจารณา วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ก็น่าจะพบได้ว่า  เหตุการณ์เหล่านี้นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นโอกาสให้เชื้อโรคต่างๆ พัฒนาตัวเองจนสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไปนี้  ทำให้ชีวิตมนุษย์ต้องเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ
ผังมโนทัศน์ รู้จักสารพันธุกรรม

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การทำงานของสารพันธุกรรม
 ผังมโนทัศน์ mutation

5.ความสามารถในการสื่อสาร

5. ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม

4.ความสามารถในการแก้ปัญหา

4. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม

3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต

3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต หมายถึง ใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เรียนรู้ด้วยตนเองต่อเนื่อง ทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม รู้จักปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมสภาพแวดล้อม และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น

2.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี


2. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี หมายถึง รู้จักเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม

1.ความสามารถในการคิด

                  1.ความสามารถในการคิด หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมความสามารถในการคิด หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสนอแนะจากคุณครู


ยินดีรับขอเสนอแนะค๊ะคุณครู

7. มีจิตสาธารณะ


1. ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยด้วยความเต็มใจโดยไม่หวังผลตอบแทน
2. เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม

3. รักความเป็นไทย


1. ภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมไทยและมีความกตัญญูกตเวที
2. เห็นคุณค่าและใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
3. อนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาไทย

5.มุ่งมั่นในการทำงาน


1. ตั้งใจและรับผิดชอบในหน้าที่การงาน
2. ทำงานด้วยเพียงพยายามและอดทนเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย

6.อยู่อย่างพอเพียง


1. ดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มีคุณธรรม
2. มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

1.ใฝ่เรียนรู้


1. ตั้งใจเพียงพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้รู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม สรุปเป็นองค์ความรู้ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

2.มีวินัย


1.ประพฤติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม

4.มึความซื่อสัตย์สุจริต


1. ประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อคนเองทั้งกาย และวาจา ใจ
2. ประพฤติตรงตามเป็นจริงต่อผู้อื่นทั้ง กาย วาจา ใจ

8. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์


1.เป็นผลเมืองที่ดีของชาติ
2.ธำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย
3.ศรัทธา ยึดมั่น และปฏิบัติตนตามหลักศาสนา
4.เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ประวัติส่วนตัว
นางสาว ปนัดดา ดวงจันทร์หอม เลขที่ 30 ม.6/9
บ้านเลขที่ 197 หมู่ 15 บ้านใหม่วังทอง  ตำบล บ้านพร้าว
อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู  39000